ก่อนที่เราจะไปเที่ยวนะคะเราก็ต้องรู้ก่อนว่าช่วงไหนบ้างที่ควรไปเที่ยวเพราะสวิตเซอร์แลนด์มีช่วงเวลาที่น่าเที่ยวแตกต่างกันค่ะ เรามาทราบกันก่อนดีกว่าว่า สวิตเซอร์แลนด์นั้นมีภูมิอากาศยังไงกันบ้าง สวิตเซอร์แลนด์นะคะ มีทั้งหมด 4 ฤดูค่ะ คือ ฤดูร้อน(มิ.ย.-ส.ค.) ฤดูใบไม้ผลิ(มี.ค.-พ.ค.) ฤดูใบไม่ร่วง(ก.ย.-พ.ย.)และฤดูหนาว(ธ.ค.-ก.พ.) โดยแต่ละฤดูก็จะมีอุณหภูมิ เอกลักษณ์ รวมถึงบรรยากาศเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยวจะมากันในช่วงเดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนกันยายนค่ะ เพราะช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่มีอากาศดีมากที่สุดของปี แต่ราคาห้องพัก ตั๋วเครื่องบินก็จะมีราคาสูง แต่ถ้าไปในช่วงเดือนเมษายนและเดือนตุลาคม อากาศจะหนาวกว่า นักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าทำให้ห้องพัก และตั๋วเครื่องบินในช่วงนี้ราคาถูกกว่า เพราะฤดูนี้อากาศกำลังเย็นสบายไม่หนาวเกินไปสำหรับคนที่ไม่ชอบอากาศหนาวก็ไปเที่ยวได้สบายๆเลยค่ะ อุณหภูมิจะอยู่ที่ ประมาณ 3-17 องศาเซลเซียส สรุปสวิสไปได้ทุกฤดู เพราะแต่ละฤดูก็จะมีความแตกต่างกัน สวยงามต่างกัน แต่ข้อจำกัดของที่นี่คือ ค่าครองชีพที่แพงเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรปค่ะ
วันที่ 1 ( ศุกร์ที่ 13 เม.ย. —–> สตราสบูร์ก 7-18 ° C มีฝน 70% )
เรากับเพื่อนอยู่ปารีส เราเลยเดินทางโดยรถประจำทาง จาก Paris Gallieni จริงๆเราว่าขึ้นรถไฟจะดีกว่าเพราะเร็วกว่ามากแต่ช่วงที่เราไป Strasbourg มีงานอยู่รถไฟเลย fullybooked หมด ขึ้นรถตอน 8 โมงเช้า ถึงเมือง Strasbourg เป็นเมืองในแคว้นอาลซัสที่โด่งดังของประเทศฝรั่งเศสนี่เอง ก็ประมาณ14:30 ซึ่งรวมๆแล้ว 6 ชั่วโมงเกือบๆ 7 ชั่วโมง ค่าโดยสารก็ประมาณ € 19.00 ( 733.22 บาท) ก็ถือว่าไม่แพงนะคะแถมได้นั่งรถชมวิวสองข้างทางด้วย
แต่ถ้าเพื่อนๆอยู่ไทย ก็สามารถนั่งเครื่องบินไปลง Strasbourg ได้เลย ปกติเราจองตั๋วกับ บริษัทตระกูลเฉิน ผ่านเว็บไซต์ได้ด้วยตนเอง หรือ จะโทรไปให้พี่พนักงานเค้าจองให้หรือจะแอดไลน์ไปก็ได้นะคะตามลิ้งค์นี้เลย LINE ID
ที่อยู่โรงแรม 18 Rue du Faubourg-National, 67000 Strasbourg, ฝรั่งเศส
ถึงเมือง Strasbourg ไปเก็บของกันก่อนเนาะจะไปเที่ยวต่อแบบสบายๆ เราก็เดินทางกันต่อโดยรถบัสซื้อบัตรตรงนั้นแ้วนั่งแค่ 10 นาทีเพื่อก็ถึงโรงแรม Hotel ibis Strasbourg Centre Petite France แต่ถ้านั่งรถไฟมาลงสถานี Strasbourg ก็ถึงโรงแรมเลยเพราะโรงแรมนี่อยู่ติดสถานีมากๆ แถวๆสถานีจะมีโรงแรมเยอะมากแค่ของ ibis เองก็อย่างน้อย 5 โรงแรมแล้ว เพื่อนๆต้องดูชื่อโรงแรมให้ดีก่อนจองนะคะ ส่วนโรงแรม Hotel ibis Strasbourg Centre Petite France ไกลกว่า ibis อื่นไม่กี่ก้าวแต่ถูกกว่าพอสมควรเราจึงขอแนะนำเลยค่ะ ราคาที่เราจองไว้ก็ประมาณ € 75 (2,908.83 บาท ) เพื่อความสะดวกเราก็ จองจากบริษัทตระกูลเฉิน แถมยังได้ราคาที่ถูกอีกด้วย
หลังจากแวะเก็บกระเป๋าที่โรงแรม เราก็ซื้อ kebab ร้านแถวนั้น เดินเล่นไปกินไปแบบชิวๆ
สถานที่แรก
เดินแป๊บเดียวด้วย Google Map แป๊บเดียวก็ถึง สะพานปง กูรแวร์ต(Pont Couverts) เป็นสะพานคนเดินที่ทอดยาวข้ามผ่านแม่น้ำอิล (River III)
ระหว่างเดินบนสะพานเพื่อนๆจะได้สัมผัสกับความสวยงามของบ้านเรือนที่เรียงรายติดกันอยู่ริมแม่น้ำและได้เห็นวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในเมืองได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย ไม่มีค่าเข้าชมนะคะ เข้าชมได้ทุกวันตลอดเวลาค่ะ แผนที่ Ponts Couverts, 67000 Strasbourg, ฝรั่งเศส แต่จากจุดนี้เราจะไม่ได้เห็นวิวที่เค้าถ่ายรูปกันนะคะ เราต้องเดินเข้าไปที่เขื่อนเพื่อจะมองเข้ามาที่สะพาน อยู่ใกล้นี่เอง
เขื่อนบาราจ วูบอง(Barrage Vauban) เขื่อนนี้ เป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นทั้งสะพานและเขื่อนกักเก็บน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งเมืองสตราซบูร์ ทอดยาวข้ามผ่านแม่น้ำอิล ซึ่งคุณสามารถขึ้นไปชมวิวได้ที่เหนือสันเขื่อน
จากจุดนี้ทางด้านหน้าเพื่อนๆสามารถเห็นสะพานปงกูแว็ตต์ (Ponts Couverts)ที่เราได้ไปเที่ยวกันมาแล้ว ตัวสะพานจะแบ่งออกเป็นสามช่วงมีลักษณะเป็นสะพานโค้ง ซึ่งในอดีตสะพานนั้นทำจากไม้และมีหลังคากระเบื้องคลุมอันเป็นที่มาของชื่อ “ปง กูแวร์ต” นั่นเอง การชมวิวจากจุดนี้นับที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่มายังสตราซบูร์เลยก็ว่าได้ ไม่มีค่าเข้าชมนะคะ ส่วนเวลาทำการก็เปิดให้บริการทุกวันตลอดทั้งปี ตั้งแต่ เวลา 8.00 น. – 19.00 น.ค่ะ แผนที่ Place du Quartier Blanc, 67000 Strasbourg, ฝรั่งเศส
สถาที่ที่สองค่ะ
สถานที่ีที่สองนี้อยู่ไกลไปอีกท 1 กิโลเมตร ซึ่งก็คือ Cathédrale Notre-Dame de Strasbourg หรือ อาสนวิหารแม่พระแห่งสทราซบูร์ นั่นเอง
เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกที่มีฐานะเป็นอาสนวิหาร ตั้งอยู่ที่เมืองสทราซบูร์ แคว้นกร็องแต็สต์ ประเทศฝรั่งเศส ส่วนหลักของสถาปัตยกรรมเป็นแบบโรมาเนสก์ แต่ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญของสถาปัตยกรรมแบบกอทิกตอนปลายที่งดงามที่สุดแห่งหนี่ง โดยมีแอร์วีน ฟ็อน ชไตน์บัค สถาปนิกชาวเยอรมัน เป็นผู้ดูแลการออกแบบและก่อสร้าง ซึ่งที่นี่มีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมปีละประมาณ 4 ล้านคน
ติดๆกับ Cathédrale Notre-Dame de Strasbourg ก็จะมี Palais Rohan เที่ยวกันมาสักพักก็เริ่มหิวแล้ว เรามาหาอะไรอร่อยๆทานกันดีกว่า เราเลือกที่จะกับไปแถว Place du Marche เดินตรงมาแถว River III
มีร้านอาหารเยอะแยะเลยค่ะ มาที่นี่แล้วเลยอยากทาน choucroute เจอร้าน Le Gruber ที่มีโปร 1 แถม 1ก็เลยทานร้านนี้กับเพื่อนเลยค่ะ แล้วก็สั่ง foei gvas อร่อยมากค่ะ ส่วน choucroute ไม่ค่อยอร่อยสำหรับเราแต่ให้ปลาเยอะดี อิ่มมากกกก
ทั้งเที่ยวทั้งกินเหนื่อยมาทั้งวันวันและกลับไปที่ซุกหัวนอนกันดีกว่าค่ะ ( Hotel ibis Strasbourg Centre Petite France ) จะนั่งรถหรือจะเดินกลับก็ได้นะคะ 15 นาทีเอง
วันที่ 2 ( เสาร์ที่ 14 เม.ย. —–>Montreux 8-18 ° C )
เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม ( Hotel ibis Strasbourg Centre Petite France ) เดินทางต่อด้วย รถไฟที่อยู่ใกล้ที่พักเราเอง เราจองรถไฟจาก Strasbourg 06:51 ถึง Basel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 08:20 รวมๆแล้วก็ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ราคาค่าเดินทาง € 18.50 ( 719.91 บาท ) แต่วันนั้นรถไฟรอบนี้ strike ค่ะต้องรออีก 3 ชั่วโมง เป็นรอบต่อไปที่จะไป Basel เราเลยกลับไปนั่งเล่นที่โรงแรม
พอเราขึ้นรถไฟไปถึง Basel เรากับเพื่อนก็ซื้อบัตร Swiss Travel Pass Youth สำหรับ 4 วันที่สถานีเลยค่ะ ประมาณ 231 CHF/คน ( 7711.09 บาท/คน ) ต่อมาเราก็สามารถเดินทางโดยรถไฟจาก Basel ไปยัง Montreux ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที ได้แบบไม่เสียเงิน ด้วยบัตร SWISS PASS นี่เอง ขอบอกไว้ก่อนว่าที่สถานี Basel มีขนมและของกินเยอะมากๆและอร่อยมากเราซื้อไปทานระหว่างนั่งรถไฟ เป็นข้าวกลางวันไปเลย
SWISS PASS
ซึ่งไอ้เจ้าบัตรนี่มีหลายประเภทอยู่ค่ะแต่ที่เรากับเพื่อนซื้อคือบัตรสำหรับผู้โดยสารที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปจนถึง 26 ปี ณ วันเดินทาง แนะนำให้เพื่อที่กำลังคิดเดินทางไป สวิตเซอร์แลนด์ ซื้อบัตร SWISS PASS ค่ะเพราะจะช่วยทำให้เราเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์ง่ายขึ้นค่ะ แต่เพื่อนอาจสงสัยว่าไอ้บัตร SWISS PASS เนี่ยมันคืออะไรใช่มั้ยคะ ไม่ต้องกลัวค่ะเราไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาให้เพื่อนๆด้วย
- Regular = ตั๋ว 1 ใบ ต่อ ผู้โดยสาร 1 ท่าน
- Adult = ผู้โดยสารที่มีอายุเกิน 26 ปี ณ วันเดินทาง
- Senior = ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ณ วันเดินทาง ซึ่งสวิสพาสไม่มีราคาสำหรับผู้สูงอายุ
- Youth = ผู้โดยสารที่มีอายุไม่ถึง 26 ปี ณ วันเดินทาง
- Child = เงื่อนไขของเด็กให้ดูรายละเอียดด้านล่าง
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ณ วันเดินทาง : ฟรี เมื่อเดินทางกับบิดา และ/หรือ มารดา ซึ่งทางบริษัทฯ จะออกบัตรสำหรับเด็กที่เรียกว่า Family Card ให้โดยไม่เสียค่าใข้จ่าย
- เด็กที่มีอายุระหว่าง 6 ปี – ต่ำกว่า 16 ปี ณ วันเดินทาง และไม่ได้เดินทางกับบิดา และ/หรือ มารดา เสียค่าใข้จ่ายที่ราคาครึ่งหนึ่งของราคา Adult Regular.
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี ณ วันเดินทาง : เดินทางฟรีการทำ Refund จะได้เงินคืน 85% ก็ต่อเมื่อตั๋วไม่มีการใช้ และต้องทำภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากวันออกตั๋ว
- กรณีตั๋วหายหรือถูกขโมยไม่สามารถทำการ Refund คืนได้
สำหรับบัตร SWISS PASS นะคะ เป็นบัตรเดินทางเฉพาะของนักท่องเที่ยวต่างประเทศค่ะ ที่เข้ามาท่องเที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อใช้สำหรับเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอรแลนด์ค่ะ โดยแค่บัตร SWISS PASS ใบเดียวนะคะเพื่อนๆก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ฟรีเกือบทุกที่ในสวิตเซอร์แลนด์ โดยไม่จำกัดเที่ยวและระยะทาง, นั่งรถไฟแห่งชาติสวิส (SBB CFF FFS) ฟรีนั่งรถโพสต์บัส (Post Bus) ฟรี, นั่งเรือล่องแม่น้ำฟรี, เข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ กว่า 480 แห่งฟรี, ใช้เป็นบัตรลด 50% สำหรับขึ้นเขา,
Rigi , Schilthorn , Stanserhorn
เขาที่ขึ้นฟรีในปี 2018 นี้ ก็จะมี
Mt. Rigi ยังคงขึ้นฟรีอยู่สำหรับปี 2018
Mt. Schilthorn สำหรับปี 2018 นี้ขึ้นฟรีเลยจ้า
Mt. Stanserhorn สำหรับปี 2018 นี้ขึ้นฟรีเลยจ้า
สำหรับพิพิธภัณฑ์ ที่เข้าร่วมกับ SWISS PASS สามารถเข้าฟรีในปี 2018 ก็จะยังมี
Chateau de Chillon เข้าฟรี
Olympic Museum เข้าฟรี
FiFa Museum เข้าฟรี
La Maison du Gruyère (cheese factory) เข้าฟรี
Maison Cailler (chocolate factory) เข้าฟรี
Swiss Museum of Transport ใช้ SWISS PASS ลด 50%
Montreux
หลังจากนั่งมาเกือบ 3 ชั่วโมง ก็ได้ถึง Montreux แล้ว นั่งรถไฟเหนื่อยจังไป CHECK-IN กันค่ะ วันนี้เราจะพักกันที่ Eurotel Montreux ห้อง Privilege พร้อมระเบียงและวิวทะเลสาบได้ ราคา 195 ยูโร/สองคน ( 7588.27 บาท )
ถึงค่าห้องจะแพงนิดหน่อยแต่วิวก็แพงมาก มองออกไปก็จะเห็นทะเลสาบเจนีวา เพราะโรงแรมอยู่ติดทะเลสาบเลยค่ะ พอหารค่าโรงแรมกับเพื่อนแล้วก็ถือว่าค้มสุดๆไปเลย
ที่อยู่โรงแรม Grand’ Rue 81, 1820 Montreux, สวิตเซอร์แลนด์
สถานที่แรก
สำหรับวันนี้เรามาเริ่มกันที่ ถนนเรียบทะเลสาบเจนีวา (Quai Edouard-Jaccoud) ซึ่งอยู่ตรงหน้าโรงแรมที่เราพักกันเลยค่ะชนิดที่แบบว่าก้าวลงจากบันไดโรงแรมปุ๊บถึงปั๊บ
เราสามารถเดินเลียบทะเลสาบเจนีวาซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมือง บริเวณโดยรอบทะเสสาบเต็มไปด้วยสวนสาธารณะและสวนหย่อมที่สวยงาม หาซื้อไอติมมากินระหว่างเดินเล่นก็ฟินมาก ลองทำดูได้ค่ะ เพราะตรงนี้เป็นที่ที่ชอบที่สุดสำหรับทริปนี้แล้ว
ที่อยู่ถนนเลียบชายหาด Quai Edouard-Jaccoud 1820 Montreux
สถานที่ที่สอง
การเดินทางเพื่อนๆสามารถนั่งรถบัสรถบัสหมายเลข 1 จากถนนเลียบทะเลสาบหรือโดยสารรถไฟท้องถิ่นจากสถานี Montreux ไปยังสถานี Veytaux Chillon ได้เลย เดินไปเลื่อยๆ หรือจะนั่งรถไฟไป Chillon Castle ก็ได้นะคะ ไปไหนมาไหนที่ SWISS ในช่วง 4 วันแรกก็ฟรีหมดด้วย SWISS PASS อยู่แล้วค่ะ
Château de Chillon หรือ Chillon Castle เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็กในทะเลสาบเจนีวาค่ะ ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองMontreux ไม่ปรากฏว่าปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อปีใดไหนนะคะ แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ควบคุมเส้นทางการสัญจรระหว่างบูร์กอญกับช่องเขากร็อง-แซ็ง-แบร์นาร์ ต่อมาในศตวรรษที่ 16 ปราสาทถูกดยุกแห่งซาวอยใช้เป็นที่คุมขังพระและนักโทษทางการเมือง ในปัจจุบัน ปราสาทหลังนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชม
การเยี่ยมปราสาทเป็นเหมือนการย้อนเวลากลับ คุณสามารถเยี่ยมชมห้องใต้ดินพร้อมซุ้มประตูแบบโกธิคลานขนาดใหญ่ห้องโถงที่เป็นทางการห้องนอนส่วนตัวและโบสถ์ยุคกลาง
ที่อยู่Chillon Castle Avenue de Chillon 21, 1820 Veytaux, สวิตเซอร์แลนด์
สถานที่ที่สาม
ไปค่ะเหนื่อยแล้วไปหาของกินกันที่ Vevey เดินทางกันอีกแล้วจะไปด้วยรถบัสหรือรถไฟก็ได้ค่ะจากตรงนี้ ถ้ายังไม่หิวเราสามารถเดินเล่นรอบ ๆ ถนนเล็ก ๆ ของเมืองเก่า ได้นะคะ สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำในเมือง Vevey นี้นะคะ คือ แกรนด์เพลส (La Grenette) โบสถ์เซนต์มาร์ติน ตลาดพื้นบ้านของ Vevey หรือที่รู้จักในฐานะ Marchés Folkloriques โดยปกติแล้วมีผู้เข้าชม 2000 คนในแต่ละวันและค่อยรับประทานอาหารเย็นกัน มื้อนี้นะคะเราขอแนะนำร้าน Le Mazot
เป็นร้านอาหารสไตล์ครอบครัวขนาดเล็กที่ให้บริการอาหารสไตล์บราสเซอรี่แบบฉบับของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ ในเมืองเก่าของ ซึ่งห่างจาก Place du Marchéและ Lake Geneva เพียงไม่กี่ก้าว เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับเนื้อสัตว์ที่มีซอส “Mazot”ร้านจะปิดวันพุธทุกวันและอาทิตย์นะคะตอน 12.00 น ที่อยู่ของร้านค่ะ Le Mazot, Rue du Conseil 7, 1800 Veveyอิ่มแล้วรู้สึกหนังตาเริ่มหย่อนแล้วสิกลับห้องไปพักกันดีกว่าค่ะ ( Eurotel Montreux )
วันที่ 3 (วันอาทิตย์ที่ 15 เมษา —–>Wilderswil / Blausee 5-12 ° C)
ตื่นเช้ามาเราก็เห็นวิวทะเลสาบฟินมาก
อาบน้ำเสร็จเราก็ซื้ออาหารเช้าจาก supermarket มานั่งทานริมทะเลสาบไม่กี่ก้าวจากโรงแรม ก่อนที่เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม ( Eurotel Montreux) เดินทางต่อด้วย รถไฟจาก Montreux ไปยัง Wilderswil ใช้เวลาก็ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ราคาปกติ: CHF 78.60 ( 2613.88 บาท ) ส่วนถ้าบัตรท่องเที่ยว Half-Fair: CHF 39.30 (1306.94 บาท ), ส่วนบัตรเดินทาง Swiss Travel: CHF 0 เฮ้ยยยยยมันดีตรงนี้แหละ บัตร SWISS PASS ฟรีอีกแล้ว
จากนั้นเมื่อเราถึง Wilderswil เราก็เช็คอินเข้าโรงแรม Jungfrau Hotel กันก่อนเก็บข้าวของแล้วไปลูยเที่ยวกัน แต่รอบนี้นอนที่นี่ 2 คืนนะจ๊ะห้องที่พวกเราจองเป็นห้องคู่ราคาประหยัด พร้อมวิว Jungfrau จะรวมอาหารเช้าแล้ว ก็ขี้เกียจไปหากินเองอ่ะ 555555 2 คืน 275 ยูโร (9172.1บาท)
ที่อยู่โรงแรมค่ะ Furkastrasse 6, 3988 Obergoms VS, สวิตเซอร์แลนด์
สถานที่แรก
โรงแรมอยู่ใกล้กับรถไฟแต่เวลาไปเที่ยวต้องเปลี่ยนหลายรอบหน่อย จากโรงแรม เราจะนั่งรถไฟเสำรวจเมือง Lauterbrunnen กัน ซึ่งเป็นทางผ่านเมืองนี้นะคะ เป็นหมู่บ้านในรัฐแบร์นของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่กลางหุบเขาสูงและชัน ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝันว่าต้องมาสักครั้ง
ที่อยู่สถานที่ Stutzli 460, 3822 Lauterbrunnen, สวิตเซอร์แลนด์
เราเคยตั้งคำถามกับเพื่อนว่าเมืองนี้มีอะไรทำไมนักท่องเที่ยวถึงอยากไปมากจนได้มาเองถึงรู้ว่าที่นี่มันโครตธรรมชาติเลย อากาศโครตบริสุทธิ์ เมืองโครตสวย คนที่นี่ก็เป็นกันเอง สำหรับใครที่ชอบเที่ยวแบบธรรมชาติ เราขอแนะนำที่นี่ค่ะ คือไปแล้วแบบว่าเงินที่จ่ายไปมันโครตเกินคุ้มค่า ประทับใจมากๆค่ะ
เนื่องจากเราไม่ได้ขึ้นรถไฟแต่เช้า เรากับเพื่อนก็เลยต้องเลือกไประหว่าง กับ Blausee ถึงเาเลืกไป Blausee กันเราก็หาข้อมูลเรื่อง Trummelbach falls มาฝากเพื่อนๆแล้วนะคะ
Trummelbach falls
เพื่อนๆนั่งรถบัสจากสถานี Lauterbrunnen โดบนั่งรถ Post Bus สาย 141 ไปที่ Trümmelbachfälle 3 ป้ายเท่านั้นก็ถึงแล้วค่าาาา ซึ่งเพื่อนควรใช้บริการนั่งรถแบบ ROUNDTRIP นะคะ ก็คือนั่งไปแล้วก็นั่งกลับด้วยค่ะหรือใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็สามารถซื้อบัตรแค่ขาไป ส่วนขากลับเดินกลับชมหมู่บ้านชมธรรมชาติก็ได้นะคะ
อัตราราคารถก็จะประมาณนี้ค่ะถ้าเป็นราคาปกติ: CHF 7.20 (240.43บาท) , บัตรท่องเที่ยว Half-Fair: CHF 3.60 (120.21บาท) , บัตรเดินทาง Swiss Travel: CHF 0 บัตร SWISS PASSฟรีอีกแล้วค่ะ อย่าลืมนะคะเพื่อนๆ ว่าต้องซื้อ SWISS PASS เพราะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลยทีเดียวพ ไปชมน้ำตก Trummelbach falls เป็นน้ำตกใต้พื้นดินที่ใหญ่ที่สุดในฃยุโรป โดยมีทั้งหมด 10 ชั้นซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาเลาเทอร์บรุนเนน มีระดับความสูงถึง 140 เมตรเลยทีเดียว
เราสามารถสัมผัสธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด โดยเดินไปตามทางเดินและลงบันไดเพื่อไปยังน้ำตกชั้นล่างๆ ระหว่างทางจะได้เห็นน้ำตกบางส่วนผ่านหน้าต่างที่เจาะทะลุหิน รับรองได้ว่าหากเพื่อนๆมีโอกาสได้ไปดู จะต้องประทับใจในความงดงามของน้ำตกแห่งนี้อย่างแน่นอนเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤศจิกายนค่ะ มีค่าเข้าชมประมาณ CHF 11 ( 367.32บาท )
ที่อยู่สถานที่ค่ะ 3824 เลาเทอร์บรุนเนิน สวิตเซอร์แลนด์
สถานที่ที่สอง
หรือถ้าใครไม่ชอบภูเขาก็สามรถนั่งรถไฟตรงโรงแรมที่สถานี Wilderswil ไปที่ Kandersteg ลงที่สถานี Interlaken Ost สำหรับ Kandersteg เป็นหมู่บ้านในรัฐแบร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ในหุบเขาที่มีแม่น้ำคันเดอร์ไหลผ่าน ทางตะวันตกของเขายุงเฟรา เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในเรื่องทัศนียภาพภูเขา เศรษฐกิจของหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยวเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมี ทะเลสาบ Blausee ขนาดเล็กที่ใช้เป็นฟาร์มเลี้ยงปลาในหุบเขา Kander ด้วยน้ำสะอาดที่มีสีฟ้าเนื่องจากการหักเหของแสงและบริเวณริมหมู่บ้านยังเป็นที่ตั้งของค่ายลูกเสือนานาชาติ ซึ่งในแต่ละปีจะมีลูกเสือจากทั่วโลกมาจัดกิจกรรมกว่าปีละ 11,000 คน สวยเกินคาดจริงๆเลยค่ะ เค้ามีตำนานของเค้าด้วยนะคะว่าทำไมน้ำถึงมีสีฟ้า
ที่อยู่Blausee 3717 Kandergrund, สวิตเซอร์แลนด์
สถานที่ที่สาม
ที่สถานี Interlaken Ost เราสามารถแวะไปเที่ยวที่ Harder Kulm / Harder Alpine Wildlife Park ปะ!!!!ไปขึ้นเขากันเถอะ เรานั่งรถราง Harderbahn สีแดงสด เป็นรถรางไต่เขา เอียงๆ (แต่เข้าไปนั่งแล้วไม่เอียงเน้อ คล้ายๆ สไตล์เดียวกับการขึ้น Peak Tram ที่ฮ่องกง) มี 2 ตู้ใหญ่ วิ่งจากสถานี Harderbahn ไปสู่ยอดสุดที่สถานี Harder Kulm ใช้เวลาประมาณไม่ถึง 15 นาที
พอมาถึงสถานีด้านบนแล้ว เดินต่ออีก 1 นาทีก็จะเป็นจุดชมวิว Harder Kulm ตรงนี้จะมีคาเฟ่ต์ ร้านอาหาร อยู่ด้วย สำหรับจุดชมวิวพีคๆ ไฮไลท์ ก็คือ เจ้าระเบียงยาวๆ ยื่นออกไปนอกหน้าผา ด้านล่างสามารถมองเห็นวิวเมือง Interlaken ได้ทั้งเมือง รวมไปถึงทะเลสาบ Brienz, Thun และยอดเขาจุงเฟราได้อีกด้วย (ถ้าไม่มีเมฆมาบัง)
ยอดเขา Harder Kulm หนึ่งในยอดเขาชมวิวของสวิสที่ขึ้นได้ง่ายที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด แต่วิวไม่แพ้ที่ใด ตั้งอยู่ที่เมืองอินเทอร์ลาเค่น (Interlaken) โดยความโดดเด่นของยอดเขานี้ คือ มีจุดชมวิวมุมสูงที่ระดับ 1,321 เมตร (4,334 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองอินเทอร์ลาเค่นทั้งหมด ไกลไปถึงยอดเขาจุงเฟรา ด้านซ้ายเป็นวิวทะเลสาบ Brienz ส่วนด้านขวาเป็นทะเลสาบ Thun
ที่อยู่จุดชมวิว 3800 Unterseen, สวิตเซอร์แลนด์
ช่วงเวลาเปิดให้ขึ้นชมวิว : เปิดบริการตั้งแต่ เมษายน – พฤศจิกายน
เวลาเปิดปิด : 8.10 – 20.55 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 30 CHF (1000.59 บาท) เด็ก 6-15 ปี 15 CHF (500.3 บาท) ถ้ามีสวิสพาส ลดครึ่งราคา
สถานที่ที่ห้า
กินลม ชมวิว ถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว เริ่มหิวแล้วค่ะพวกเราก็เลยชวนกันลงจากเขาไปหาไรกินกันข้างล่างดีกว่าเพราะข้างบนราคาไม่ค่อยเป็นมิตร วันนี้เราเลยจะพาเพื่อนไปกินอาหารที่ Restaurant The Verandah ตั้งอยู่ในโรงแรม Royal St. Georges เราก็สามารถใช้ Swiss Pass นั่ง Bus ไปได้เลยค่ะ
ห้องอาหาร Verandah ให้บริการอาหารเอเชียและอาหารตะวันตกหลากหลายประเภทยกระดับการรับประทานอาหารตลอดทั้งวันให้บริการทั้งในร่มหรือกลางแจ้งมองเห็นวิวแม่น้ำ
มีเมนูตามสั่ง มีบริการอาหารเลิศรสสำหรับช่วงเวลาของวันตั้งแต่อาหารเช้าจนถึงอาหารว่างยามดึก นอกจากนี้เรายังมีขนมอบอบสดใหม่และไอศครีมโฮมเมดอีกด้วย
สำหรับร้าน The Verandah เค้าบริการดีมากค่ะ แถมอารหารก็หน้าดูดี รสชาติอร่อยถูกปาก มีทั้งอาหารสวิสแบบต้นฉบับของเมือง และอาหารของเค้ายังขึ้นชื่อ ในด้านเครปและของหวานและ อาหารเรียกน้ำย่อยร้านนี้นะคะ ผสมผสานรสชาติแบบดั้งเดิมของชาวสวิสและอาหารร่วมสมัยเช่นฟองดูที่มีชื่อเสียงเสิร์ฟพร้อมกับขนมปังฝรั่งเศสแบบฝรั่งเศสและไวน์รสชาติของท้องถิ่น
ที่อยู่ร้าน Hoeheweg 139, 3800 Interlaken, Switzerland,
จากนั้นก็เดินทางกลับสู่ที่พักกันค่ะ ( Jungfrau Hotel )
วันที่ 4 (วันจันทร์ ที่ 16 เมษา —–>Jungfrau 3.6 ° C )
ไหนๆก็ซื้อบริการแล้ว ก็ต้องกินให้คุ้มสิ ใช่มั้ย วันนี้ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมนะคะถือว่าคุ้มเลย กินเสร็จไปเที่ยวเขากันค่ะ
แนะนำให้เพื่อนๆเช็คก่อนนะคะว่าท้องฟ้าอากาศแจ่มใสรึเปล่า ไม่งั้นไปข้างบนไม่เห็นอะไรเลยจะเสียเวลามากๆ
ไปเที่ยว Jungfraujoch กันดีกว่า ไปค่ะลุยต่อ เราจะนั่ง รถไฟที่ Wilderswil ไป Jungfraujoch แบบ ROUNDTRIP นะคะ ราคาปกติ: CHF 189.60 ( 6323.75 บาท ), บัตรท่องเที่ยวครึ่ง Fair: CHF 94.80 ( 3161.87 บาท ), บัตรเดินทาง Swiss Travel: CHF 142.2 ( 4742.81บาท ) เรากับเพื่อนยังไม่ได้ตกลงกันว่าจะไป Jungfraujoch หรือ Schilthorn ดี เช้าวันนั้นเราตัดสินใจไป Schilthorn กัน แต่เราก็มีข้อมูลของ Jungfraujoch มาฝากคร่าวๆ
Option 1
เมื่อเดินทางไปถึงสถานี Jungfraujoch ซึ่งสถานีนี้เป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป น่าตื่นเต้นมากๆเลยนะคะ และที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่รอเพื่อนๆ อยู่ด้านบนอีก สำหรับใครที่ชอบหิมะ สามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพ ที่งดงามของธารน้ำแข็ง Jungfrau และ Aletsch ได้เลย
สำหรับ Jungfrau ตั้งอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใกล้กับเมืองเวงเงินส์ เป็นหนึ่งในยอดเขาที่สุดที่สุดบนเทือกเขาแอลป์ ที่อยู่ค่ะ 3801 Fieschertal, สวิตเซอร์แลนด์
สถานที่ที่หนึ่ง
Aletsch เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ตั้งอยู่ใน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ธารน้ำแข็งนี้มีความยาวราว 23 กิโลเมตรร ตัวธารน้ำแข็งมีความกว้างราว 940 เมตร ธารน้ำแข็งอาเล็ทช์และหุบเขาโดยรอบได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติโดยยูเนสโก
ธารน้ำแข็งแห่งนี้เกิดขึ้นจากการบรรจบกัน ณ ระดับความสูง 4,160 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลของธารน้ำแข็งขนาดย่อย 4 สาย อันได้แก่ โกรสเซอร์อาเล็ทช์เฟียร์น (Grosser Aletschfirn) ยุงเฟราเฟียร์น (Jungfraufirn) เอวิจชเนแฟลด์ (Ewigschneefäld) ทางเหนือ จากเขาเมินช์ (Mönch) กรือเน็กก์เฟียร์น (Grüneggfirn) ที่อยู่สถานที่ 3984 Fieschertal, สวิตเซอร์แลนด์
Option 2
ต่อไปไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Schilthorn กันค่ะ ซึ่งพวกเราตั้องนั่งรถ จาก Wilderswil เพื่อไป Lauterbrunenเดินทางประมาณ 15 นาที และต่อไปยังStechelberg Schilthornbahn โดยรถประจำทาง อีกประมาณ12 นาที จากนั้นต้องเดินทางต่อด้วย Cable Car อีก 32 นาที ( ต้องเปลี่ยนรถสายอื่นใน Gimmelwald เพื่อไปถึงMürren ขาสุดท้ายของการเดินทาง จากนันคุณจะต้องขึ้นรถรางและเปลี่ยนไปที่ Birg จากนั้นก็จะไปถึงจุดสูงสุดของ Schilthorn )
ถึงการเดินทางจะยากลำบากแต่ทุกจุดก็สวยงามทำให้ไม่เหนื่อยเลยค่ะนอกจากนี้ที่ Birg ก็จะมี Thrill Walk บนยอดเขา สำหรับคนที่ชอบท้าทายความกล้าอีกด้วย
สำหรับเขา Schilthorn ตั้งอยู่ทางตะวันตกของหุบเขาเลาเทอร์บรุนเนินถัดจากหมู่บ้านเมือร์เริน โดยมีกระเช้าลอยฟ้าจากเมือร์เรินมายังภูเขาแห่งนี้ บริเวณจุดยอด สามารถมองเห็นได้ทัศนียภาพของเขาทิทลิส, เขาไอเกอร์, เขาเมินช์, เขายุงเฟรา และยังสามารถเห็นไปถึงป่าดำทางทิศเหนือ ตลอดจนมงบล็องทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ที่อยู่ 3825 เลาเทอร์บรุนเนิน สวิตเซอร์แลนด์
เดินทางเหนื่อนมาทั้งวันและกลับห้องไปนอนกันดีกว่า (Jungfrau Hotel)
วันที่ 5 (วันอังคาร ที่ 17 เมษา —–>Lucerne )
เช็คเอาท์โรงแรม (Jungfrau Hotel) แล้วเดินทางกันต่อค่ะรถไฟจาก Wilderswil ไป Interlaken เมื่อถึงสถานี Interlaken Ost เราก็เดินทางโดย Brienz Cruise ไปยัง Brienz ใช้เวลาประมาณ75 นาที ฟรีด้วย SWISS PASS อีกแล้วคุ้มมาก
เมื่อถึงBrienz เรานั่งรถไฟไปที่ Lucerne ต่อ อัตราค่าโดยสาร ราคาปกติ: CHF 29( 967.24 บาท ), บัตรท่องเที่ยวครึ่ง Fair: CHF14.5 ( 483.62 บาท ), บัตรเดินทาง Swiss Travel: CHF 0
เราหาที่พักไว้แล้วค่ะก็เลยไม่ค่อยลำบากถึงเมือง็เข้าไป เช็คอินที่โรงแรม ibis budget Hotel Luzern City ได้เลย จองไว้ห้องเดียวค่ะ ราคาก็อยู่ที่ € 85 ( 3298.85 บาท )ไม่มีอาหารเช้านะคะราคานี้
เก็บของแล้วไปต่อกันเลยจร้าาา เราไปเที่ยวต่อกันที่ Mount Rigi โดยเรานั่งเรือจาก Lucerene ไปยัง Vitznau ซึ่งก็จะผ่านจุดที่น่าสนใจที่สุดของทะเลสาบลูเซิร์น ฟรีด้วย
เมื่อถึง Vitznau ให้เพื่อนข้ามถนนไปยังรถไฟเฟืองสีแดงเป็นรถไฟไต่เขาที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปอีกด้วย ซึ่งจะนำคุณไปถึง Mount Rigi อัตราค่าโดยสาร ราคาปกติ: CHF 45.00( 1500.89 บาท ), บัตรท่องเที่ยวครึ่ง Fair: CHF 22.5( 750.44 บาท ), บัตรเดินทาง Swiss Travel: CHF 0
Note : ต้องไปถึงเร็วๆนะคะเพราะรถไฟเฟืองปิดให้บริการเร็วมากๆ
Mount Rigi หรือที่เรียกว่า ราชินีแห่งเทือกเขา ทั้งเทือกเขาล้อมรอบด้วยน้ำเกือบทั้งหมดของ ทะเลสาบ สามแห่งคือ ทะเลสาบลูเซิร์น ทะเลสาบซุก และ ทะเลสาบเลาเซอร์ มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม และเป็นจุดวิวที่สวยที่สุดของเมืองลูเซิร์น มีความสูงประมาณ 1,797.5 เมตร เขาริกิ ได้ว่า ที่นี่มีกิจกรรมหลายอย่างให้นักท่องเที่ยวได้สนุก เช่น การเล่นสกี หรือเลื่อนในฤดูหนาว และเดินป่าในช่วงฤดูร้อน แนะนำให้เอาอาหารขึ้นไปทานระหว่างชมวิวบนรถไฟแบบที่คนท้องถิ่นเค้าทำกันนะคะ
ที่ตั้งเขาริกิค่ะ 6410 Arth, สวิตเซอร์แลนด์
ในวันที่อากาศแจ่มใสคุณสามารถมองเห็น Jura.Count ทะเลสาบหลายแห่งที่คุณสามารถดูได้มีทะเลสาบแปดแห่ง ได้แก่ ทะเลสาบลูเซิร์นทะเลสาบ Sempach ทะเลสาบ Hallwil ทะเลสาบ Baldegg ทะเลสาบ Zug ทะเลสาบ Aegeri ทะเลสาบ Lauerz และทะเลสาบ Sarnen
หากมีเวลาเหลือ: นั่งรถไฟไปที่ Zug และไปที่เมืองเก่าของ Zug ซึ่งมีขนาดเล็ก แต่สวยงามหรือเดินเล่นตามทะเลสาบ Zug และเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่จากที่นั่น มีร้านอาหารอยู่ริมทะเลสาบที่มีทั้งหมดสวยดี ที่นี่สามารถชมพระอาทิตย์ตกที่ยอดเยี่ยม ดูผ่าทะเลสาบ Zug
จากนั้นนั่งรถไฟกลับไปที่ ลูเซิร์น เดินทางเข้าสู่ที่พักค่ะ (ibis budget Hotel Luzern City )
วันที่ 6 (วันพุธที่ 18 เมษา —–> Back to Paris)
ตื่น แต่เช้า!! ค่ะวันนี้ ทานอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วก็ออกไปเดินไปเที่ยวรอบรอบ ๆ
สถานที่แรก
สะพาน Chapel Bridge เป็นสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำร็อยส์ในนครลูเซิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1365 เมื่อแรกสร้างมีความยาว 270 เมตร แต่เนื่องจากตลิ่งแม้น้ำที่งอกเพิ่มขึ้นตลอดหลายร้อยปี ทำให้ในปัจจุบันตัวสะพานเหลือความยาว 204.7 เมตร สะพานนี้ถือเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป และถือเป็นหนึ่งในสะพานแบบโครงที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกตลอดลำสะพานมีจิตรกรรมจำนวนมากที่วาดขึ้นในศตวรรษที่ 17 อย่างไรก็ตาม จิตรกรรมกว่า 2 ใน 3 ได้ถูกทำลายจากเหตุเพลิงไหม้ในปี ค.ศ. 1993
ส่วน Water Tower หอคอยแปดเหลี่ยมนี้ – สูงกว่า 34 เมตร (111.5 ฟุต) – สร้างขึ้นเมื่อราวปีพศ. 1300 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองและใช้เป็นคลังเก็บเงินห้องคุกและทรมาน เป็นสถานที่สำคัญของลูเซิร์นและอนุสาวรีย์ที่ถ่ายภาพบ่อยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อมองออกออกจากสะพาน Chapel เพื่อนๆจะได้เห็นทัศนียภาพที่งดงามของทะเลสาบลูเซิร์น ทะเลสาบแห่งนี้นะคะล้อมรอบด้วยเทือกเขา Swiss Alps และทะเลสาบแห่งนี้ยังมีทัศนียภาพที่สวยงาม
ที่ตั้งค่ะ Kapellbrücke, 6002 Luzern, สวิตเซอร์แลนด์
สถานที่ที่สอง
เมื่อเราเดินไปที่ ย่าน Old Town ในเมืองเก่าของ Museggmauer Lucerne ซึ่งเมืองนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลางอันงดงามและถนนแคบ ๆ ที่ทอดสู่ Museggmauer อันเก่าแก่ (Musegg Wall) ตั้งอยู่ที่ยอดของ Old Town ที่สามารถมองเห็นเมือง Lake Lucerne และบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงล้อมรอบ สร้างขึ้นในปี 1386
การเดินขึ้นไปทางด้านบนใช้เวลาประมาณ 15 นาทีผ่านถนนก้อนหินปูถนนที่คุ้นเคยดังกล่าว แต่เราสามารถยืนยันได้ว่าคุ้มค่ากับความพยายาม อีกความเป็นจริงที่น่าสนใจสำหรับประวัติศาสต มีนาฬิกาเมืองที่เก่าแก่ที่สุดย้อนกลับไป 1535 ตั้งอยู่ภายใน Zyt ทาวเวอร์และมีการตั้งค่าการตีระฆังทุกชั่วโมงความแตกต่างเป็นมัน chimes หนึ่งนาทีก่อนอื่น ๆ นาฬิกาในเมือง
ที่ตั้งของย่าน Kornmarkt 11, 6004 Luzern, สวิตเซอร์แลนด์
สถานที่ที่สาม
Lion Monument อนุสาวรีย์สิงโต สิงโตที่ตายแล้วอนุสาวรีย์ที่แกะสลักจากหิน รูปปั้นสิงโตที่ใกล้ตายถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติ เป็นสัญลักษณ์ให้ผู้คนระลึกถึงองครักษ์สวิสที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ จากการลุกฮือที่พระราชวังทุยเลอเรียงที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 10 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1792
อนุสาวรีย์นี้เป็นหนึ่งในอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในแต่ละปีจะมีผู้มาเยี่ยมชมอนุสาวรีย์แห่งนี้ประมาณ 1.4 ล้านคนและในปี ค.ศ. 2006 อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้รับการคุ้มครองเป็นให้เป็นมรดกแห่งชาติ
ที่ตั้งสถานที่ค่ะ Denkmalstrasse 4, 6002 Luzern, สวิตเซอร์แลนด์
Luzerner Chügelipastete ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นที่ปรุงจากพัฟขนมอบเนื้อลูกวัวและเห็ดบรรจุในซอสครีม อร่อยไปลองค่ะ หาทานได้ง่ายๆเพราะเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวสวิสค่ะ
ปะกลับบ้านกันค่ะหลังจากเที่ยวอย่างเต็มอิ่มมากว่า 6 วัน 5 คืน ขากลับนี้เรานั่งรถไฟจาก Lucern ไปยัง Geneva Aeroport ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆจากนั้นนั่งเครื่องจากบาเซิลไปปารีสเที่ยวบินเที่ยวบินที่ EZS1395 ตอน 16:25 จาก GENEVA ถึง PARIS ORLY 17:30 โดยสายการบิน Easyjet ราคา 23 ยูโร ( 892.63 บาท )
ถ้าคิดราคาต่อคนก็ตกคนละประมาณ 37,300 ก็ถือว่าทริปนี้ถูกมากๆเลยนะคะเที่ยวไกลถึงยุโรปจ่ายเงินแค่ 3 หมื่นกว่าเองค่ะ คุ้มมากๆ
เรายังมี trick สุดท้ายที่ช่วยเราได้มากๆ คือการจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ ที่พักทั้งหมด ผ่าน บริษัทตระกูลเฉินค่ะ เพราะเค้าเป็นบริษัททัวร์ที่เป็นมืออาชีพและไว้ใจได้ เปิดมามากกว่า 20 ปีแล้ว ทำให้การจองทริปนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ แค่ chat รายละเอียด ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก รถไฟ บัตรเข้าต่างๆ ที่ LINE ของบริษัท (หรือถ้าเพื่อนๆอยากเที่ยวแบบเราก็ส่ง LINK โพสต์นี้ ไปให้ทางบริษัทได้เลยนะคะ) เค้าก็จองให้หมด แล้วเราก็จ่ายเงินครั้งเดียวจบ หรือจะจองโรงแรมทั่วโลกผ่าน website ของบริษัทเองก็ได้นะคะ
ไม่ไปไม่ได้แล้วหรือไม่อยากไปเที่ยวเองก็สามารถจองทริปเที่ยวกับทางบริษัทได้นะคะ ตามด้านล่างนี้เลย
สนใจแพ็คเก็ททัวร์ Switzerland1 , Switzerland2 , Switzerland3 , Switzerland4
ตอนนี้ก็เป็นอันจบทริปของเราแล้วนะคะ แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะคะ หรือเพื่อนๆ คนไหนอยากไปเที่ยวที่อื่นใน Switzerland นอกเหนือจากที่เรามารีวิวก็ลองดูแพ็คเก็ทพวกทัวร์แถวๆยุโรปได้ตาม Link นี้นะคะ